ครั้งหนึ่ง นักเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ ระดับตำนานถูกถามถึงบทเรียนสำคัญที่สุดจากอาชีพการงานอันยาวนานหลายทศวรรษของเขา เขาไม่ได้เอ่ยถึงตัวบ่งชี้ลับหรือแบบจำลองการคาดการณ์ที่ซับซ้อน เขาชี้ไปที่เส้นที่วาดไว้บนแผนภูมิก่อนเข้าเทรด เขากล่าวว่า “เส้นนั้นคือจุดที่ผมคิดผิด”
ก่อนที่ฉันจะคิดด้วยซ้ำว่าฉันจะหาเงินได้เท่าไหร่ ฉันจะกำหนดจุดที่ไอเดียของฉันใช้ไม่ได้ให้ชัดเจน ถ้าราคาแตะจุดนั้น ฉันก็หมดสิทธิ์
ไม่มีคำถาม ไม่มีความลังเล ตลาดไม่สนใจความคิดเห็นของผม และนั่นคือสัญญาที่ผมมีกับความเป็นจริง” การกระทำง่ายๆ นี้ การยอมรับความผิดพลาดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อให้เกิดรากฐานของการเทรดอย่างมีวินัย จุดตัดขาดทุนไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่มันคือข้อตกลงที่เทรดเดอร์ทำกับตลาดเพื่อรักษาเงินทุนและรักษาความสม่ำเสมอ
Stop-loss คืออะไร?
Stop-loss คือคำสั่งที่โบรกเกอร์วางไว้เพื่อปิดสถานะเมื่อราคาถึงราคาที่กำหนด เพื่อจำกัดการขาดทุนในการซื้อขายนั้น สำหรับสถานะซื้อ (Long Position) คำสั่ง Stop-loss จะถูกตั้งไว้ที่ราคาต่ำกว่าราคาเข้า
สำหรับสถานะขาย (Short Position) จะถูกตั้งไว้ที่ราคาสูงกว่าจุดเข้า กลไกนี้เป็นกลไกการบริหารความเสี่ยงอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าสถานะที่ขาดทุนเพียงครั้งเดียวจะไม่สร้างความเสียหายอย่างไม่สมส่วนต่อบัญชีซื้อขาย กลไกนี้ตอบคำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับการซื้อขายทุกครั้ง: "ฉันยินดีเสี่ยงมากแค่ไหนเพื่อดูว่าการวิเคราะห์ของฉันถูกต้องหรือไม่" การกำหนดจำนวนนี้ไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้เทรดเดอร์ไม่ต้องแบกรับภาระทางอารมณ์ในการตัดสินใจในช่วงเวลาที่ตึงเครียด
ตรรกะของการอนุรักษ์ทุน
งานหลักของเทรดเดอร์ไม่ใช่การทำเงิน แต่คือการบริหารความเสี่ยง กำไรมักเป็นผลพลอยได้จาก การบริหารความเสี่ยง อย่างมีประสิทธิภาพ การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) คือการแสดงออกถึงหลักการนี้อย่างครบถ้วน หลักการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการขาดทุนจะอยู่ในระดับที่น้อยและสามารถจัดการได้ทางคณิตศาสตร์
ยกตัวอย่างเช่น การฟื้นตัวจากการขาดทุน 50% จำเป็นต้องได้กำไร 100% จึงจะคืนทุน การจำกัดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งให้อยู่ในสัดส่วนเงินทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพียงเล็กน้อย (เช่น 1% หรือ 2%) จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถรักษาระยะเวลาการเรียนรู้ให้ยาวนานขึ้นและเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดในระยะยาว
วิธีการตั้งจุดตัดขาดทุน
การวางจุดตัดขาดทุนถือเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ไม่ควรเป็นการตัดสินใจโดยพลการ ตำแหน่งของจุดตัดขาดทุนต้องมีความสมเหตุสมผล โดยพิจารณาจากโครงสร้างของตลาดหรือกฎการบริหารความเสี่ยงที่กำหนดไว้ การวางจุดตัดขาดทุนอย่างถูกต้องจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างการเปิดโอกาสให้เทรดได้ทำกำไร และการตัดขาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
การตั้งจุดตัดขาดทุนแบบอิงกราฟ : วิธีนี้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อระบุจุดที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับแนวคิดการซื้อขาย เทรดเดอร์จะตั้งจุดตัดขาดทุนในระดับที่โครงสร้างตลาดจะพิสูจน์ว่าแนวคิดเริ่มต้นนั้นผิด
- สำหรับการซื้อขายระยะยาว อาจวางจุดหยุดการขาดทุนไว้ใต้จุดต่ำสุดของการแกว่งตัวล่าสุดหรือระดับแนวรับสำคัญ
- สำหรับการซื้อขายระยะสั้น อาจวางไว้เหนือจุดสูงสุดของการแกว่งตัวล่าสุดหรือระดับแนวต้านสำคัญเล็กน้อย
มักถือกันว่านี่เป็นแนวทางที่เป็นมืออาชีพที่สุด เนื่องจากการหยุดนั้นเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของตลาดเอง
จุดตัดขาดทุนแบบเปอร์เซ็นต์ : วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการตั้งจุดตัดขาดทุนที่ราคาซึ่งสอดคล้องกับเปอร์เซ็นต์คงที่ของเงินทุนของเทรดเดอร์ กฎทั่วไปคือความเสี่ยงไม่เกิน 1% หรือ 2% ของยอดคงเหลือในบัญชีทั้งหมดในการซื้อขายครั้งเดียว
ตัวอย่างเช่น ในบัญชีมูลค่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ความเสี่ยง 1% จะเท่ากับ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นขนาดของสถานะจะถูกคำนวณตามระยะหยุด (Stop Distance) เพื่อให้แน่ใจว่าจะขาดทุนสูงสุดที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ วิธีนี้ช่วยสร้างความสม่ำเสมอในการบริหารจัดการเงิน
จุดตัดขาดทุนตามความผันผวน : ตลาดไม่ได้หยุดนิ่ง ความผันผวนของตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จุดตัดขาดทุนตามความผันผวนจะปรับตามสภาวะตลาดปัจจุบัน เทรดเดอร์สามารถใช้ตัวบ่งชี้เช่น Average True Range (ATR) เพื่อกำหนดจุดตัดขาดทุนที่สูงกว่าความผันผวนของราคาล่าสุดได้ ในช่วงที่มีความผันผวนสูง จุดตัดขาดทุนจะกว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นจากความผันผวนของราคาปกติ ในช่วงที่ตลาดเงียบ จุดตัดขาดทุนจะแคบลง ซึ่งจะช่วยปรับความเสี่ยงให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
Trailing Stop-Loss : Trailing Stop-Loss จะปรับโดยอัตโนมัติเมื่อการซื้อขายเป็นไปตามทิศทางของเทรดเดอร์ สำหรับสถานะ Long เมื่อราคาขยับขึ้น Stop-Loss ก็จะขยับขึ้นเช่นกัน แต่จะไม่ขยับลง วิธีนี้จะช่วยล็อกกำไรไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถติดตามแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นต่อไปได้
สัญญาจะต้องได้รับการเคารพ
จุดตัดขาดทุนจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อปฏิบัติตาม หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดและส่งผลเสียต่อนักลงทุนคือการย้ายจุดตัดขาดทุนเพื่อรองรับการเทรดที่ขาดทุน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสัญญาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์ เกิดจากความหวังว่าตลาดจะฟื้นตัว การรักษาวินัยหมายถึงการปฏิบัติต่อจุดตัดขาดทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเสมือนเป็นขอบเขตที่ชัดเจนภายใต้เงื่อนไขที่เป็นรูปธรรม
เมื่อเปิดการซื้อขายแล้ว บทบาทของเทรดเดอร์คือการดำเนินการตามแผน ไม่ใช่การเขียนแผนใหม่ระหว่างทาง เมื่อเวลาผ่านไป วินัยนี้จะสร้างความสม่ำเสมอและความมั่นใจ
ข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการซื้อขายอย่างรอบคอบ แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เทรดเดอร์ต้องตระหนักถึงข้อจำกัดของมัน ในตลาดที่มีความผันผวนสูงหรือขาดสภาพคล่องสูง อาจเกิด “การลื่นไถล” ได้ ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ราคามีช่องว่างอย่างรวดเร็ว จุดตัดขาดทุนอาจทำงานที่ราคาถัดไป ซึ่งอาจส่งผลเสียได้น้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัดดังกล่าว เทรดเดอร์มืออาชีพส่วนใหญ่ยังคงมองว่าจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) เป็นแนวป้องกันหลักในการรับมือกับความเสี่ยงขาลงที่ควบคุมไม่ได้ เป็นเครื่องมือสร้างโครงสร้างและการอยู่รอด ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้มั่นใจว่าเงินทุนจะถูกเก็บรักษาไว้สำหรับโอกาสในอนาคต
คำพูดสุดท้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง
ไม่มีกลยุทธ์หรือรูปแบบคำสั่งใดที่สามารถขจัดความเสี่ยงโดยธรรมชาติของการซื้อขายได้ สภาวะตลาดอาจเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและคาดเดาไม่ได้ และการขาดทุนก็เป็นส่วนหนึ่งของการเข้าร่วมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จุดประสงค์ของการตั้งจุดตัดขาดทุนไม่ใช่เพื่อรับประกันความสำเร็จ แต่เพื่อจัดการความไม่แน่นอนอย่างเป็นระบบและมีวินัย
การเทรดโดยไม่ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) คือการตัดสินใจที่จะยอมรับความเสี่ยงอย่างไม่จำกัด การเทรดโดยตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) คือการตัดสินใจที่จะเคารพความน่าจะเป็น โครงสร้าง และความยั่งยืน ในระยะยาว ความเคารพนี้ — ไม่ใช่การคาดการณ์ — คือสิ่งที่แยกเทรดเดอร์ที่มุ่งมั่นออกจากนักเก็งกำไรที่คาดหวัง
การซื้อขายมีความเสี่ยงสูง เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำการลงทุน
